รู้จัก "โรคคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น" เช็กด่วนว่าเข้าข่ายหรือเปล่า? เพราะอาจเป็นโดยไม่รู้ตัว!
LIEKR:
หลายคนคงเคยได้ยินมาบ้างแล้วเกี่ยวกับโรค "Imposter Syndrome" หรือโรคคิดว่าตัวไม่เก่งและไร้ค่า แต่จากผลวิจัยกับพบว่า คนส่วนใหญ่ที่มีอาการเหล่านี้ "มักเป็นคนที่เก่งและทำงานได้ดี" ซะงั้น แต่ถ้ามองย้อนกลับมาดูโลกแห่งความเป็นจริง ก็ยังมีคนอีกประเภทที่มีอาการเป็นเหรียญอีกด้านของ Imposter ซึ่งก็คือ "โรคคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น" นั่นเอง
พวกเขาเหล่านี้ กลับคิดว่าตัวเองเก่งและเหนือกว่าคนอื่นไปซะหมด ซึ่งคนพวกนี้อาจตกอยู่ในอาการ "Superiority Complex" อยู่ก็เป็นได้ สงสัยแล้วใช่มั้ยว่าโรคนี้คืออะไร? เกิดขึ้นกับเราหรือคนรอบตัวเราหรือไม่? มาทำความรู้จักไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ
เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยเจอคนประเภทที่คิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น คิดว่าตัวเองดีเลิศกว่าใครพวก โลกนี้น่ะเหรอจะมีใครเทียบเทียมฉันได้ เรามันอยู่คนละชั้นกัน! พอเจอคนแบบนี้แต่ละครั้งก็เผลอเกิดความรู้สึกเอือมทุกที ทั้งหมั่นไส้แต่ก็อดสงสารไม่ได้ที่เค้าเป็นแบบนี้ (บางทีก็แอบคิดว่าเค้าดูละครแล้วติดนิสัยนางร้ายมากไปหรือเปล่า?)
แม้ว่าเวลาอยู่ใกล้คนที่ชอบยกตนข่มท่านทีไรแล้วรู้สึกประสาทจะกินทุกครั้ง แต่เราก็ควรทำความเข้าใจว่าในโลกของเรามันก็แบบนี้แหละ มีคนหลากหลายรูปแบบให้เราได้เรียนรู้อยู่ทุกวัน อย่างคนที่มีอาการแบบที่ยกไปข้างต้น ในทางจิตวิทยาได้สรุปไว้ว่า พวกเขาอาจตกอยู่ในอาการ Superiority Complex หรือความรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าคนอื่น
พูดง่ายๆ มันก็คืออาการเจ็บป่วยทางจิตแบบหนึ่งที่พบได้มนุษย์แบบชาวเรา พวกเขามักจะมีความคิดว่าตัวเองนั้นสำคัญกว่าคนอื่นจนดูเกินจริงไปหน่อย หลายครั้งมักมีพฤติกรรมแบบโนสนโนแคร์ จะพูดหรือทำอะไรก็ไม่ได้ใส่ใจคนอื่น ไม่สนหรอกว่าใครจะคิดยังไง มีความรู้สึกประมาณว่าตัวเองนั้นดีกว่าใคร มีความสามารถมากกว่าคนอื่น และชั้นน่ะถูกจัดลำดับความสำคัญไว้ในอันดับต้นๆ เสมอ และเมื่อไม่มีอะไรมาฉุดรั้งให้เค้าเปลี่ยนความคิดได้ มันก็อาจจะนำไปสู่โรคทางจิตอื่นๆ เช่น โรคหลงตัวเอง (Narcissism) เป็นต้น
รู้จักอาการของโรคนี้ไปคร่าวๆ เชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอคนแบบนี้มาไม่มากก็น้อย (ทุกวันนี้ก็ยังเจออยู่ ดูออก) บางทีอาจจะมาในรูปแบบเพื่อนร่วมชั้น เพื่อนร่วมงาน หรืออาจจะเป็นเพื่อนร่วมโลกที่เดินสวนกันแต่ละวันก็ได้ ว่าแล้วก็ลองยกตัวอย่างพฤติกรรมของคนที่มีอาการ Superiority Complex ให้ได้เห็นชัดๆ อีกครั้ง ยกตัวอย่างเช่น
- มักแสดงอาการหยิ่งยโสโอหังต่อผู้คนรอบข้าง บางคนแค่เดินผ่านก็รู้สึกได้ถึงพลังงานลบ
- มักพูดแต่เรื่องของตัวเองอยู่เสมอ เวลาอยู่ในวงสนทนากับใคร ไม่ว่าตอนนั้นจะพูดประเด็นอะไรอยู่ก็ตาม คนเหล่านั้นก็มักจะวกกลับเข้าเรื่องตัวเอง และพูดยกยอตัวเองให้คนอื่นได้ฟัง
- ชอบใช้คำพูดแรงๆ ไม่ถนอมน้ำใจคนอื่น แต่กลับคิดเองเออเองว่าการที่พูดแบบนั้น คือการเผยว่าตัวเองเป็นคนตรงๆ เฟียซๆ จริงใจ
- ชอบคิดว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่น มองคนรอบข้างว่าต่างจากตัวเองไปซะหมด และถึงแม้จะมีคนมาพยายามเข้าหา ก็มักจะมีกรอบกำบังเอาไว้ เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าเป็นคนโลกส่วนตัวสูง แต่แค่คิดว่าตัวเองกับคนอื่นนั้นอยู่คนละชั้นกันต่างหาก
- หากมีใครมาพูดจาขัดใจ หรือทำอะไรให้ตัวเองไม่พอใจ พวกเค้ามักจะเลือกตอบโต้กลับแรงๆ ไม่ว่าจะเป็นทั้งคำพูดหรือทางกาย
- ในทุกครั้งที่มีการเปิดให้แสดงความคิดเห็น มันเป็นเรื่องปกติที่แต่ละคนอาจมีความคิดที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกันกับคนที่เป็นโรคนี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเค้ามีความคิดต่างจากคนอื่น ก็มักจะคิดว่าตัวเองนั้นถูกเสมอ ความเห็นของตัวเองดีที่สุด จนบางครั้งก็ลืมให้เกียรติและเคารพผู้อื่น
- เมื่อไหร่ก็ตามที่ตัวเองทำผิด ก็มักจะหาเหตุผลล้านแปดมากลบเกลื่อนความผิดเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
- บางคนอาจแสดงอาการเหยียดออกมา หรือไม่ก็พูดจาเหยียดหยามคนอื่นแต่กลับบอกว่าตัวเองนั้นแค่พูดแสดงความคิดเห็น พูดตามความรู้สึกตัวเองเฉยๆ และอ้างเหตุผลว่า ก็เพราะชั้นเป็นคนตรงไปตรงมาไง เลยพูดออกมาได้ (จริงๆ ควรแยกให้ออกว่าอันไหนพูดตรง อันไหนไร้มารยาท)
- ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเราจะมีความมั่นใจในตัวเองกับเรื่องที่เราเชี่ยวชาญ เพราะมันแสดงว่าเรารู้จริงถึงได้พูดออกมา แต่กับบางคนที่มีอาการนี้มักพกความมั่นใจมาสูงมากและคิดว่าตัวเองเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น และใช้ความมั่นแบบผิดๆ มากดคนอื่นให้ต่ำลงเพื่อให้ตัวเองดูสูงส่ง ดูฉลาดกว่าคนอื่น ทั้งที่ความจริงแล้วคนที่ฟังอยู่อาจจะรู้ดีกว่าก็ได้ แต่แค่ไม่พูดหรือแสดงอาการแย่ๆ แบบนี้แค่นั้นเอง
แค่ดูจากที่ยกตัวอย่างไปด้านบนแล้วก็รู้สึกปวดหัวแล้วใช่มั้ย ถ้าต้องเผชิญกับคนแบบนี้ทุกวัน ไม่แน่เราอาจจะป่วยจิตตามก็เป็นได้ เพราะเล่นปล่อยพลังงานลบใส่ขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเราไม่สามารถแก้ไขหรือช่วยให้เค้าฉุกคิดได้ สิ่งที่เราควรทำ ไม่ใช่ตอกกลับแรงๆ ใส่ หรือว่าใช้วิธีการเดียวกับที่เค้าทำกับเรา เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้แย่ไปกว่าเดิม (และเราเองอาจจะกลายเป็นคนในแบบที่เราไม่ชอบ) ซึ่งสิ่งที่เราควรทำคือ เรียนรู้ในสิ่งที่เค้าทำและพยายามเข้าใจในสิ่งที่เค้าเป็น และพยายามไม่นำความรู้สึกแย่ๆ ที่เค้าเผยแพร่มาใส่ใจมากนัก เพราะกว่าที่เค้าจะถูกหล่อหลอมให้เป็นแบบนี้ เชื่อเถอะว่าแต่ละคนล้วนมีที่มาที่ไปจนทำให้เค้ามีอาการนี้ ทั้งพื้นฐานครอบครัว สังคมที่เค้าอยู่ เหตุการณ์ที่เค้าเจอ ล้วนแล้วมีส่วนทั้งหมด
บางคนอาจจะถูกพ่อแม่เลี้ยงแบบตามใจ ถูกสปอยล์มาตั้งแต่เด็ก พอเติบโตมาก็กลายเป็นผู้ใหญ่ที่สปอยล์ตัวเองต่อ หรือบางคนอาจเคยเจอเหตุการณ์กระทบแรงๆ ที่กระทบกระทั่งอารมณ์และจิตใจ อาจโดนดูถูก เหยียดหยามหรือโดนด่าด้วยด้วยคำพูดแรงๆ ตั้งแต่เด็ก สุดท้ายก็เก็บมาเป็นปมและทำให้เป็นคนมีปัญหาทางอารมณ์แบบนี้ หรือถ้ามองอีกด้านพวกเค้าอาจจะเคยคิดว่าตัวเองนั้นไม่ดีพอ คิดว่าตัวเองไม่ได้รับความสำคัญ และด้วยความต้องการมีตัวตนและอยากได้รับการยอมรับจากอื่น จึงพยายามชดเชยความรู้สึกขาดเหล่านั้นให้กับตัวเอง แต่กลับชดเชยจนมากเกินไปจนทำให้มีพฤติกรรมแบบนี้ เป็นต้น
อย่างที่บอกไปว่าในแต่ละวันเราอาจจะเจอคนรอบข้างที่เป็น Superiority Complex ซึ่งบางทีก็ไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไร หรือความจริงแล้วเป็นเราเองนี่แหละที่ตกอยู่ในอาการนี้และเผลอไปทำแย่ๆ ใส่คนอื่นแบบไม่รู้ตัว แต่ถ้าตอนนี้รู้แล้วว่าตัวเองอาจเข้าข่าย ก็ลองค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง จริงอยู่ที่การเป็นตัวของตัวเองมันเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าสิ่งที่เราเป็นอยู่มันไม่ได้ดีเลย ก็เปลี่ยนซะบ้างค่ะ
ข้อมูลและภาพจาก sciencedaily,dek-d