LIEKR:
จากเรื่องราวดราม่าที่เกิดขึ้น หลังจาก ตูน บอดี้สแลม นักร้องหนุ่มได้ออกมาประกาศว่าจะกลับมาวิ่งการกุศล เพื่อหาเงินให้กับเด็กยากไร้ แต่ครั้งนี้กลายเป็นเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกออนไลน์
มีหลายคนตั้งคำถามถึงเรื่องนี้ว่า #พี่ตูนวิ่งทำไม เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหรือไม่ ทำไมไม่ช่วยกันเรียกร้องเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง บ้างก็โยงไปถึงโครงการต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็มีหลายคนมองว่าการทำโครงการการกุศลชวนคนมาร่วมทำบุญของพี่ตูนนั้น ก็เป็นการช่วยเหลือเด็กยากไร้ได้อีกอีกทางหนึ่ง
Sponsored Ad
ต่อเมื่อ ก้อย รัชวิน ภรรยาของ ตูน บอดี้สแลม ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเล่าถึงที่มาที่ไปของโครงการและความทุ่มเท ตั้งใจจริงของสามีและคณะ ซึ่งได้บอกว่า "พี่ตูนไม่ได้ออกมาวิ่งยาว ๆ เหมือนที่คนเข้าใจผิดนะคะ"
Sponsored Ad
“เราเริ่มทำโครงการก้าวเพื่อน้อง เมื่อปี 2563 ในช่วงที่สถานการณ์ระบาดครั้งแรก จากคำแนะนำของกสศ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีฐานข้อมูลของนักเรียนที่ขาดแคลนโอกาสทั่วประเทศและดูแลเรื่องนี้โดยตรง ไปศึกษาพูดคุยกับนักเรียน คุณครู รวมไปถึงพ่อแม่ของเด็กเหล่านั้น เพื่อที่จะได้รับรู้ถึงความยากลำบากและเข้าใจปัญหาของเด็กเหล่านั้นและนำมาสื่อสารกับผู้คนได้อย่างถูกต้อง”
“เราพบว่าไม่ใช่แค่เรื่องเรียนอย่างเดียวแต่คือทุกเรื่องในชีวิตของเค้า ทั้งทุนทรัพย์ในการดำเนินชีวิต ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล นั่นทำให้เรายิ่งรู้สึกว่าเราอยากส่งต่อโอกาสเหล่านี้ให้กับเด็กเหล่านั้นจริง ๆ ที่ผ่านมาได้จัดงานวิ่ง และนำค่าสมัครโดยไม่หักค่าใช้จ่ายไปมอบให้กับน้องๆ”
Sponsored Ad
“ซึ่งในปีที่แล้วเราสามารถช่วยน้อง ๆ ได้ 109 คน โดยมาจากรายได้ของการจัดงาน หารกับค่าใช้จ่ายของเด็ก 1 คน ในการเรียนต่อ 3 ปี ทั้งค่าเทอม ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล ซึ่งประเมินการโดยผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาที่รวบรวมสถิติข้อมูลมานาน”
Sponsored Ad
“ตลอดปีที่ผ่านมา ด้วยสถานการณ์ด้านสถานการณ์ต่างๆ ทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปพบน้อง ๆ ได้ แต่สิ่งที่ก้อยเห็นคือ พี่ตูนและทีมก้าว ยังคงทำงานร่วมกับ กสศ. อย่างต่อเนื่อง ก้อยเห็นพี่ตูนประชุมออนไลน์วันละ 3-4 ชม. ทุกอาทิตย์ตอนที่ก้อยท้อง เพื่อเตรียมจัดทำโครงการนี้ขึ้นมาเป็นครั้งที่ 2”
“พี่ตูนและทุกคนทำด้วยความรัก ความตั้งใจ เพราะรู้ว่าการให้โอกาสให้สักคนนั้นมีคุณค่ามากแค่ไหน ถึงแม้สิ่งนี้จะไม่ใช่หน้าที่ของพวกเราโดยตรง แต่ถ้าหากเราได้รับรู้ปัญหาและพอที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยได้บ้าง มันก็คงจะดีไม่น้อย” พร้อมกับทิ้งท้ายว่า “หากรอก็คงมีเด็กอีกไม่รู้เท่าไรที่ต้องออกจากระบบการศึกษาไปอย่างน่าเสียดาย”
Sponsored Ad
จากโพสต์ต้นฉบับ
ที่มา : Instagram @rachwinwong