เปิดชีวิต 4 นักธุรกิจดัง จาก "รวยแสนล้าน" ชีวิตผลิกผัน กลับไม่มีกิน-บางคนไร้ที่ซุกหัวนอน!

LIEKR:

เปิดชีวิต 4 นักธุรกิจดัง จาก "รวยแสนล้าน" ชีวิตผลิกผัน กลับไม่มีกิน-บางคนไร้ที่ซุกหัวนอน!

        ใครว่าชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น? 

        มีเงินเท่าไรก็ถลุงใช้ไปวันๆ ซื้อความสะดวกสบายให้ตัวเอง..... แต่จะทำอย่างไรเมื่อชีวิตไม่ได้แสนสั้นอย่างที่คิดไว้ กว่าจะเดินทางไปถึงจุดหมาย หรือก่อนเจอความตาย ชีวิตยังต้องเจออะไรอีกมากมายที่ตัวเราเองคาดไม่ถึง เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน "รวยเป็นเศรษฐีร้อยล้าน - หมื่นล้าน" ทำธุรกิจใหญ่โตยืนอยู่บนกองเงินกองทอง อาจจะต้องใช้ชีวิตในบั้นปลายแสนยากลำบาก 

        ไม่ต่างอะไรกับละครน้ำเน่าที่เขียนบทดราม่าขึ้นมาเรียกน้ำตา วนฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เรตติ้งยอดคนดูถล่มทลายทุกยุคทุกสมัย เพราะนิยายที่แต่งขึ้น มันเกิดจากเรื่องจริงล้วนๆ ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์ เปิดบทเรียนชีวิตจริงของ "คนเคยรวย" อุทาหรณ์สอนใจ ให้ระมัดระวังการใช้ชีวิต 

 

Sponsored Ad

 

---------------

เศรษฐีร้อยล้านชีวิตพลิกผัน ระเห็จระเหเร่ร่อนไร้ที่ซุกหัวนอน ขอข้าวชาวบ้านกิน 

        ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ จากเจ้าของกิจการทั้งขายส่ง-รับเหมาก่อสร้าง ที่จังหวัดชัยภูมิ รวยล้นฟ้าสุดท้ายต้องมาประสบปัญหาเป็นชายเร่ร่อน โรครุมเร้าทั้งเบาหวาน ความดัน เป็นอัมพฤกษ์ต้องใช้ไม้เท้าค้ำยันเดิน อาศัยนอนศาลาวัด-โรงพยาบาล ...เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แก้งคร้อ ต.หนองไผ่ อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ได้รับแจ้งจากประชาชนในตลาดอำเภอแก้งคร้อ เกี่ยวกับเรื่องราวของชายสูงอายุ ที่ถือไม้เท้าเดิน ขอข้าวกิน ทราบชื่อต่อมาคือ นายสุทธิลักษณ์ เลิศวานิชย์กุล หรือเฮียเล็ก อายุ 57 ปี 

 

Sponsored Ad

 

        ชาวบ้านละแวกดังกล่าวให้ข้อมูลเรื่องราวของเฮียเล็ก ก่อนหน้านี้ ถือว่าเป็นคนมีหน้ามีตา มีทรัพย์สินนับร้อยล้านบาท เพราะว่า "ตระกูลเลิศวานิชย์กุล" เป็นตระกูลเก่า และเป็นเศรษฐีของอำเภอแก้งคร้อ ทำธุรกิจหลายอย่างจนเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว มีธุรกิจทั้งขายส่ง และรับเหมาก่อสร้าง กระทั่งเมื่อ 5-6 ปีก่อน มีปัญหาต้องแยกทางกับภรรยา โดยยกธุรกิจให้ภรรยา และแบ่งสมบัติให้ลูก 2 คนไป ส่วนเฮียเล็กก็ใช้เงินส่วนของตัวเองอย่างหรูหรา ฟุ่มเฟือยไปกับการเที่ยวกินอย่างหนัก กระทั่งเริ่มล้มป่วยหนัก เงินที่มีอยู่ก็ร่อยหรอ ไม่พอรักษาตัว สุดท้ายก็ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนดังกล่าว

 

Sponsored Ad

 

        ขณะที่ "เฮียเล็ก" เล่าย้อนอดีตความเป็นมาของตัวเองให้ตำรวจฟังว่า เมื่อหลายสิบปีก่อน ตนอยู่ในฐานะร่ำรวยระดับคหบดีคนหนึ่งในอำเภอแก้งคร้อ ทำธุรกิจหลายอย่าง ชาวบ้านในตลาดอำเภอแก้งคร้อต่างรู้จักดี ต่อมาเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว เกิดเจ็บป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และสุดท้ายกลายเป็นอัมพฤกษ์ ต้องรักษาตัว เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ กระทั่งเกิดปัญหาครอบครัว ต้องแยกทางกับภรรยา ก่อนจะแบ่งทรัพย์สินกัน "ผมเอาทรัพย์สินส่วนแบ่งที่ได้จากภรรยาเพียงน้อยนิดนำไปขายเพื่อเอาเงินมารักษาตัวเองจนไม่มีเหลือสักบาท ทุกวันนี้อาศัยเพียงศาลาวัดหรือไม่ก็โรงพยาบาลเป็นที่ซุกหัวนอน ขอเงินและอาหารจากชาวบ้านที่คุ้นเคยกันประทังชีวิตมากว่า 5 ปีแล้ว" 

 

Sponsored Ad

 

        ภายหลัง นายสุพัฒน์ ทิพลักษณ์ รองผอ.ศูนย์ช่วยเหลือผู้ไร้ที่พักพิง ได้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือเฮียเล็ก ปรึกษาพูดคุยกับญาติๆ ของนายสุทธิลักษณ์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อหาทางออกร่วมกัน เพราะทราบจากชาวบ้านว่า นายสุทธิลักษณ์มีญาติพี่น้องค่อนข้างมีระดับฐานะเศรษฐีกันทุกคน และชาวบ้านนับหน้าถือตาอีกด้วย 

---------------

ตกอับ-ล้มละลาย กลายเป็น "พ่อค้าก๋วยเตี๋ยว" ในวัย 76 ปี  

        เจ้าของที่ดินในกรุงเทพมหานคร และตามหัวเมืองใหญ่ของประเทศไทย รวมแล้วกว่า 500 ไร่ จากเคยทำธุรกิจค้าไม้ได้กำไรอย่างงาม ใช้ชีวิตสุขสบาย หรูหรา หมดเงินไปกับการกินการดื่มครั้งละนับแสน ส่งเสียลูกทุกคนเรียนเมืองนอก ขณะที่ภรรยาชอบเล่นหุ้น สามารถสร้างรายได้เป็นเงินสดกว่าพันล้าน ซ้ำยังผ่านวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 40 มาได้แบบไม่ต้องรับผลกระทบใดๆ

 

Sponsored Ad

 

        ต่อมาเกิดน้ำท่วมหนักหลายพื้นที่ในประเทศไทย ส่งผลให้ต้องเลิกทำธุรกิจค้าไม้ ก่อนย้ายมาตั้งโรงงานอะไหล่ที่ จ.อยุธยา ผลกระทบจากอุทกภัยในครั้งนั้น ทำให้ทรัพย์สินของเขาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น รถ 19 คัน บ้าน 5 หลัง ที่ดินและเงินสดทั้งหมดสูญไป ด้านภรรยาเล่นหุ้นขาดทุนกว่า 400 ล้านบาท ทิ้งไว้เพียงหนี้กองโตจำนวนกว่า 200 ล้าน 

        "เมียผมชอบเล่นหุ้น หุ้นก็ขึ้นเอาๆ เรามีเงินสดหลายร้อยล้าน ปีที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ผมไม่ได้รับผลกระทบ กระทั่งปีที่น้ำท่วมใหญ่ ผมจึงเลิกกิจการโรงไม้ หันมาตั้งโรงงานอะไหล่เครื่องยนต์ที่อยุธยา ทรัพย์สมบัติครั้งนั้น มีรถยนต์ 19 คัน บ้านอีก 5 หลัง ที่ดินทั้งหมดและเงินสดที่เคยมี แฟนผมเล่นหุ้นเจ๊งไปสี่ร้อยกว่าล้าน ลูกๆ ทำธุรกิจก็หมดตัวขาดทุนย่อยยับ ภายใน 2 ปีสิ่งที่ผมมีมันหายไปหมด เหลือไว้เพียงหนี้สินสองร้อยกว่าล้าน ปัจจุบัน ผมคือบุคคลล้มละลาย เช่าห้องแถวอยู่พอได้ขายก๋วยเตี๋ยวประทังชีวิต รอความตายไปวันๆ เมียผมก็ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร ลูกๆ ผมไม่เคยเห็นหน้า ตอนนี้ผมอายุ 76 ผมต้องยกหม้อก๋วยเตี๋ยว ล้างจานเอง" ชายแก่วัย 76 ปี ถ่ายทอดเรื่องราวให้ฟัง 

 

Sponsored Ad

 

        ทุกวันนี้ปลงได้แล้ว มาลำบากตอนแก่ เงินค่าเช่าห้องต้องไปยืมกับคนที่เราเคยด่าเขาไว้ ลูกของเขายื่นเงินให้เราแสนห้าพร้อมพูดว่า "พ่อผมบากหน้าไปยืมเงินคุณลุงเพราะตอนนั้นผมเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดสมอง พ่อนั่งร้องไห้ คุณลุงด่าแล้วโยนเงินให้เหมือนหมา"

        ผมเดินร้องไห้มาถึงบ้าน เอาเงินจ่ายค่าเช่าห้องแถว ลงทุนมีเงินเก็บไว้ 30,000 บาท และผมเข้าใจความรู้สึกของคำว่า "กรรมนั้นตามสนอง" หลานไม่ได้ด่าผม แต่หลานพูดความจริง เพียงแต่ผมรับความจริงไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมมีความสุขดี พระแม่ชี ขอทาน มากินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านผม ผมไม่คิดเงิน ตอนผมมีเยอะๆ ผมเบื่อคนบอกบุญ ผมหลอกเขาว่านับถือคริสต์ ผมไม่เคยทำบุญ แต่ใช้เงิน ผมเที่ยว ผมกิน ผมมีผู้หญิง ตอนนี้ผมหมดตัวมีหนี้สิน สิ้นเพื่อน ไร้ลูก ผมถึงได้ฟังธรรมะ เข้าวัดเป็น รู้จักทาน อีกหน่อยก็คงตายไป ผมห่วงแค่เมียผม ผมภาวนาให้เมียผมตายก่อนผม เพราะถ้าผมตายก่อนเมียผม ผมจะตายตาไม่หลับ

Sponsored Ad

        **เรื่องราวของคุณลุงตกอับวัย 76 ปี ถูกถ่ายทอดไว้ในเว็บไซต์ที่สุดดอทคอม โดยผู้เขียนระบุชัด ไม่ขอเปิดเผยตัวตนของคนในเรื่อง พร้อมยืนยันว่า ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริง

---------------

พ่อทิ้งพวกเรา 3 ชีวิต เผชิญชะตากรรมในสหรัฐอเมริกา ไร้ที่ซุกหัวนอน อดมื้อกินมื้อ 

        "ธุรกิจที่บ้านผมล้มละลายตอนอายุ 20 ปี จากที่เคยกินอยู่แบบสุขสบาย  สุดท้ายพ่อทิ้งพวกเราไปแบบไร้เยื่อใย ทำให้ทั้ง 3 (แม่และน้องชาย) กลายเป็นคนไร้ที่อยู่ ไร้ที่ซุกหัว เมื่อทนความหนาวไม่ไหวจึงต้องแอบพาคุณแม่ไปหลับในห้องหอพักที่ 'ฮาร์วาร์ด' ลำบาก อดมื้อกินมื้อ กอดคอกันร้องไห้ทุกวัน เพราะไม่เห็นฝั่งฝันอนาคต เราใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นหลายปี" ชาตรี ศิษย์ยอดธง คนไทยดังระดับโลก เกริ่นเล่าเรื่อง 

        หนุ่มลูกครึ่ง ไทย-ญี่ปุ่น สื่อสารภาษาไทยชัด เล่าย้อนความหลัง ขณะที่เขาอายุเพียง 14 ปี ที่บ้านมีฐานะดี คุณพ่อทำธุรกิจที่ดิน กระทั่งอายุ 20 บ้าน รถ เงินที่เคยมี ก็หมดสิ้นเพราะธุรกิจล้มละลาย จากที่เคยมีเงิน มีบ้าน ครอบครัวก็กลายเป็นคนจนทันที พ่อ-แม่แยกทางกัน เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เขากำลังจะบินไปสมัครเรียนที่ Harvard รัฐ Massachusetts จนสุดท้ายคิดว่า อาจจะไม่ได้บินไป และจะทำงานอยู่เมืองไทย เพราะไม่มีเงิน แต่คุณแม่มีความมั่นใจ และพูดเสมอ เขาเป็นลูกคนโต เป็นความหวัง

        "บางครั้งเห็นคุณแม่อด เพื่อให้เราได้กินอิ่ม ช่วงนั้นผมร้องไห้บ่อยมาก..เชื่อไหมพูดไปแล้วภาพนั้นยังติดตา ร้องไห้ เพราะไม่มีอนาคต บ้านไม่มี ไม่มีทางออก น้องชายอายุ 15 จะไปโรงเรียนยังไง เหมือนเราโดนทิ้งจากพ่อ และถูกผลักให้กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวแบบไม่ได้ตั้งตัว ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ยากลำบากมาก จนสุดท้าย ผมกระเสือกกระสนจนเดินทางไปเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ดได้ แต่ชีวิตก็อยู่ลำบาก ต้องกินข้าววันละมื้อ เพื่อเก็บเงินที่ได้จะส่งเงินไป เดือนหนึ่งโทรกลับไปหาแม่ได้น้อยมาก โทรครั้งละแค่ 1 นาที" 

        เขาเล่าด้วยว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งร้องไห้กันมาก คิดว่าทำไมต้องลำบากแบบนี้ และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้ ตัดสินใจพาแม่มาอยู่ด้วยกันที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งตอนกลางคืนก็ต้องแอบพาแม่อยู่ในห้องพัก ปกติที่เราอาศัยอยู่ที่ฮาร์วาร์ดเข้า-ออกได้ แต่ค้างไม่ได้ แต่แม่ไม่มีที่อยู่ เราอาศัยนอนพื้น ให้แม่นอนบนเตียง ชีวิตเป็นแบบนั้นอยู่ 2 ปี

        "ที่อเมริกาผมต่อยมวยเพราะมันทำให้มีชีวิตรอดจากความอดอยาก หลายครั้งใจท้อแท้ แต่การฝึกฝนมวยไทย ทำให้ร่างกาย จิตใจเข้มแข็งและฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ การฝึกทั้งข้างใน ความเข้มแข็ง ความอดทนของหัวใจ ข้างนอก ความเข้มแข็ง ความอดทนของร่างกายทั้งหมดนี้ผมเรียนรู้จากเพื่อนๆ นักมวยครูยอดธง จึงทำให้ผมสามารถมีชีวิตใหม่ มีเงินทองชื่อเสียง เรียนจนจบ และหาเลี้ยงครอบครัวให้อยู่อย่างสุขสบายได้" 

---------------

ฟองสบู่แตก ต้มยำกุ้ง วิกฤติปี 40 ศาลสั่งล้มละลาย "ศิริวัฒน์ ขายแซนด์วิช" 

        ย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน คงไม่มีใครลืมวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 หรือฟองสบู่แตก หลังรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เศรษฐกิจพังครืน เศรษฐีกลายเป็นยาจกชั่วข้ามคืน ผู้คนตกงาน หลายคนฆ่าตัวตายจนเป็นข่าวรายวัน และนี่คือบาดแผลครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของ "ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ" อดีตเซียนหุ้นผู้ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย มีหนี้สินติดตัวนับพันล้าน ผันตัวเป็นพ่อค้าขายแซนด์วิชข้างถนน  

        "หลังเรียนจบด้านบริหารการเงินจากมหาวิทยาลัยเทกซัส สหรัฐอเมริกา ก็กลับมาทำงานตามบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ต่างๆ จนได้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์เอเซียจำกัด ตั้งแต่อายุ 29 ช่วงนั้นตลาดการลงทุนบูม ผมเคยทำกำไรจากหุ้นได้มากสุดวันละสิบล้าน มีสื่อเชิญไปออกรายการมากมาย พอมีเงินก็ส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ช่วงนั้นผมพักอาศัยอยู่คอนโดมิเนียมเดียวกับคุณเจริญ ศิริวัฒนภักดี มหาเศรษฐีอันดับต้นๆของเมืองไทย ก่อนจะเกิดวิกฤติฟองสบู่" 

        ศิริวัฒน์ กู้เงินลงทุนสร้างคอนโดมิเนียมที่เขาใหญ่ห้องละ 5 ล้าน ขายเฉพาะคนรวยเท่านั้น ใช้การลงทุนในตลาดหุ้นแบบมาร์จิน (Margin) อธิบายง่ายๆ คือ กู้เงินมาลงทุน พอหุ้นตกก็ถูกบังคับขาย (Forced Sell) พอขายหุ้นจนหมดที่เหลือก็คือหนี้ ยกตัวอย่างเช่น มีหนี้อยู่ 100 ล้าน พอหุ้นตกก็ขายได้ 70 ล้าน เหลือหนี้ 30 ล้าน ดอกเบี้ยก็เดินไปเรื่อยๆ พอเศรษฐกิจมีปัญหา คอนโดฯ ที่ขายถูกลูกค้าทิ้งเงินดาวน์ ลูกค้าซื้อห้องราคา 30 ล้าน เงินดาวน์ 10% เป็นเงิน 3 ล้านบาท เมื่อลูกค้าทิ้งเงินดาวน์ ส่วนที่เหลือ 27 ล้าน ก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมด สุดท้ายจากหนี้ไม่กี่ล้านกลายเป็นพันล้าน 

        "ถึงวันที่เรียกประชุมพนักงานบริษัทซึ่งมีอยู่ 40 คน เพื่อแจ้งว่าบริษัทต้องปิดตัว ตอนนั้นพนักงานครึ่งหนึ่งลาออก อีกครึ่งหนึ่งกำลังมืดแปดด้าน ไม่มีที่ไป เพราะช่วงนั้นมีแต่บริษัทปิดตัว งานหายาก ผมจึงเป็นเหมือนที่พึ่งสุดท้าย แต่คำสอนหนึ่งที่ได้มาจากคุณพ่อคุณแม่คือ อย่าทิ้งลูกน้อง เพราะเขาเหมือนครอบครัวเดียวกับเรา ถ้าไม่มีเขาเราก็ไม่มีวันนี้ ผมปรึกษาภรรยาว่าจะช่วยพวกเขายังไงดี ลำพังตัวคนเดียวอาจจะไปขายประกัน หรือทำบริษัทขายตรงก็ได้ แต่งานเหล่านั้นมันเลี้ยงคนไม่ได้ สุดท้ายภรรยาบอกว่า งั้นเรามาทำแซนด์วิชขายกันเถอะ" และนั่นคือจุดเริ่มต้นของตำนานคนสู้ชีวิต จนสามารถลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง 

---------------

        หมายเหตุ : ทางทีมงานไม่ได้มีเจตนาตอกย้ำหรือกระทำการซ้ำเติมผู้ใดหรือบุคคลใด เพียงแต่ต้องการนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของบุคคลที่ประสบหรือได้พบเจอกับเหตุการณ์นั้นมา และทำการถ่ายทอดให้ทุกคนได้รับรู้และเข้าใจในปัญหานั้น ทั้งนี้ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น บางเหตุการณ์ก็ไม่สามารถควบคุมหรือแก้ไขได้เสมอไป ดังนั้นการใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทจะเป็นหนทางที่จะนำพาเราไปสู่ทางออกได้ในที่สุด และสุดท้ายทีมงานขอเป็นกำลังใจให้บุคคลที่ทีมงานได้หยิบยกเรื่องราวในครั้งนี้ด้วยค่ะ

ข้อมูลและภาพ จาก thairath

บทความที่คุณอาจสนใจ