LIEKR:
สาวเรียนจบปริญญาตรีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ตัดสินใจมาขับรถแท็กซี่ เพราะอยากมีเวลาให้ครอบครัว และมีเวลาใช้ชีวิตมากขึ้น…“จุดเปลี่ยนชีวิต” ของเธอเกิดจากเพื่อนของเธอได้แชร์เรื่องราวลงในทวิตเตอร์ จนส่งผลให้เธอกลายเป็นจุดสนใจในเวลาแค่เพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับเธอคนนี้กัน...
จากข่าวดังเมื่อผู้ใช้ทวิตเตอร์ ทวีตข้อความว่า “นับถือเพื่อน โคตรสู้ชีวิต จากเด็กอักษรจุฬาฯ ไม่ยึดติด ไม่อีโก้ ถึงเวลาดิ้นรน ก็เป็นคนขับ แท็กซี่ ได้! ใครหาคนขับดีๆ ไว้ใจได้ ติดต่อนางได้เลย” เพียงชั่วข้ามคืนเรื่องดังกล่าวถูกพูดถึง และได้รับการชื่นชมอย่างล้นหลามจากโลกโซเชียล (อ่านเพิ่มเติม : ไม่เลือกงานไม่จน! บัณฑิตจุฬาฯ หารายได้เสริม "ขับแท็กซี่" รับทั่วไทยไม่เกี่ยงเส้นทาง!)
Sponsored Ad
โพสต์จากทวิตเตอร์
"จะว่าชีวิตเปลี่ยนไปเลยก็ได้นะ หลังจากเพื่อนได้โพสต์และแชร์เรื่องราวของเราลงไปในโลกโซเชียล ที่ดีใจมากคือ มีคนเข้ามาชื่นชมเราว่าเราเป็นไอดอลให้กับเขาในการสู้ชีวิต“ เสียงจาก “แท็กซี่สาวคนดัง” อย่าง “วรรณกวี อยู่วัฒนา” หรือ “แก้ว” เล่าให้ฟังว่า ปัจจุบันเธออายุ 36 ปี เป็นคนจังหวัดนนทบุรี เรียนจบคณะอักษรศาสตร์ ภาควิชาศิลปการละคร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยอาชีพเดิมของเธอนั้น เธอบอกว่า เคยทำงาน ประจำเป็นคนเบื้องหลังละครโทรทัศน์ ซึ่งทำมาแล้วหลายหน้าที่ ทั้งเป็นผู้ช่วยผู้กำกับฯ ดูแลนักแสดง ประสานงานกองถ่าย เป็นฝ่ายค้นหาข้อมูล หรือแม้กระทั่งงานนั่งโต๊ะเป็นเลขานุการของผู้บริหาร เธอก็เคยทำมาแล้ว นี่เป็นประวัติอาชีพการงานโดยสังเขปของเธอคนนี้
Sponsored Ad
อย่างไรก็ตาม ด้วยมีปัญหาสุขภาพสะสม จากการต้องทำงานตรากตรำในกองละคร จนพักผ่อนไม่เพียงพอ และไม่มีเวลาให้ครอบครัว ประกอบกับเธอเกิดความรู้สึกอยากที่จะเปลี่ยนอาชีพ เพราะอยากทำอะไรที่เป็นของตัวเองมานานแล้ว ซึ่งที่สุดก็ตัดสินใจเลือกทำ “อาชีพขับรถแท็กซี่” โดยเธอได้ใช้เวลาคิดและเตรียมการมานานกว่า 2 ปี ด้วยการไปสอบใบขับขี่สาธารณะเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อคิดว่าพร้อมแล้วเธอจึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพื่อมาเริ่มต้นในอาชีพใหม่ กับการขับรถแท็กซี่
Sponsored Ad
"ขับแท็กซี่ได้ไม่กี่วัน ก็เกิดเป็นกระแสขึ้นมา เพราะเพื่อนของเรานำภาพและข้อความที่เราโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กไปโพสต์ต่อในทวิตเตอร์" เธอบอกถึงเรื่องนี้กับเราอย่างขำๆ พร้อมกับบอกเพิ่มเติมถึงการที่ลาออกจากการทำงานประจำโดยหันมาขับแท็กซี่ด้วยว่า เพราะปัญหาสุขภาพ แถมยังไม่มีเวลาเจอหน้าคุณแม่ของเธอเลย จนเธอรู้สึกตัวว่าถ้าปล่อยให้ชีวิตเป็นแบบนั้นต่อไปคงแย่ จึงตัดสินใจหาทางออก โดยเลือกลาออกจากงาน และมายึดอาชีพขับแท็กซี่
"เลือกอาชีพนี้ อย่างแรกเพราะเป็นทางเลือกที่ใกล้ตัวค่ะ เพราะคุณแม่เราก็ขับรถแท็กซี่ ซึ่งเราตั้งใจว่าอยากจะมีอะไรที่เป็นของตัวเอง หรือธุรกิจของตัวเอง แต่เพราะเรายังไม่มีเงินเก็บหรือเงินก้อนเยอะ ๆ และจะค้าขาย ก็ไม่เก่ง แล้วธุรกิจอะไรล่ะที่จะเป็นของตัวเอง เป็นอิสระ และได้เรื่องของเวลาและรายได้ ก็เลยลงตัวที่อาชีพนี้" แก้ว ระบุ
Sponsored Ad
.
เธอเล่าอีกว่า ได้ไปปรึกษากับคุณแม่ ที่ขับรถแท็กซี่อยู่แล้ว ซึ่งคุณแม่ก็สนับสนุน ทั้งยังบอกว่าไม่ได้เสียดายความรู้ของเราที่เรียนมา เพราะตลอดเวลา 16 ปีของชีวิตการทำงาน เธอก็เคยผ่านอะไร ๆ มาแล้วไม่น้อย จึงคิดว่า ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร จะอยู่ในสถานะใด ก็สามารถใช้ความรู้ที่ครูอาจารย์สอนมาให้เกิดประโยชน์ได้ ดังนั้น เมื่อตัดสินใจแล้ว เธอจึงเข้าไปคุยกับเจ้านาย "เข้าไปบอกเจ้านายว่าขอลาออก แต่ก็ไม่ได้บอกเจ้านายว่าจะมาขับแท็กซี่" เธอเล่าถึงเรื่องนี้พร้อมเสียงหัวเราะ
Sponsored Ad
พร้อมกับเล่าถึง “ประสบการณ์วันแรกที่ขับแท็กซี่” ให้ฟังว่า "ลูกค้าคนแรกที่โทรฯมาจองคือ อาจารย์ที่เคยสอนเรา ซึ่งท่านจะเดินทางไปสนามบิน ท่านบอกดีเลย เธอมาขับให้ครูนะ ครูไว้ใจด้วย เพราะเป็นลูกศิษย์ และครูก็เดินทางบ่อย ต่อมาก็เป็นรุ่นน้องที่คณะอักษรศาสตร์ เหมาไปเที่ยวพัทยา จนเหมือนกับเราพาน้อง ๆ เที่ยว คือไปกันแบบเรื่อย ๆ เราได้งาน ได้เงิน แถมได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับน้อง ๆ และยังได้อัพเดทข้อมูลข่าวสารในวงการที่เราเคยทำงานด้วย ส่วนน้องก็ได้คนขับที่ไว้ใจ ได้เพื่อนคุยด้วย ซึ่งก็สนุกดี”
Sponsored Ad
แก้วบอกต่อไปว่า การขับรถแท็กซี่ ตอบโจทย์ความต้องการของเธอ เพราะกำหนดเวลาเองได้ ซึ่งถ้ารู้สึกเหนื่อย หรือไม่ไหวก็พัก ซึ่งเธอยอมรับว่าโชคดีที่มักจะได้งานที่เป็นลูกค้านัด และเธอเองก็มีลูกค้าประจำค่อนข้างเยอะ ดังนั้นจึงรับลูกค้าจรค่อนข้างน้อยมาก ทั้งนี้ เมื่อถามว่า “คนส่วนใหญ่มักบอกว่าอาชีพขับแท็กซี่นั้นเครียด
...ทำไมถึงมาขับ?” แก้วตอบสวนมาทันทีว่า ’จริง ๆ ไม่ได้เครียดอะไรมากมาย“ แต่ถ้าจะมีเรื่องเครียด ก็จะเป็นเรื่องที่ทุกคนเครียดอยู่แล้วในชีวิตประจำวันตามปกติ ซึ่งความเครียดนี้ จะทำอาชีพอะไรก็ต้องเจอ ซึ่งสำหรับตัวเธอเองเธอคิดว่างานประจำที่เคยทำเครียดมากกว่าขับแท็กซี่เสียอีก
Sponsored Ad
กับ “ไอดอล” ในอาชีพนี้ นั่นก็คือ คุณแม่ ซึ่งแก้วได้เล่าถึงเรื่องนี้ว่า เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เธอตัดสินใจเลือกอาชีพนี้ เพราะคุณแม่ขับแท็กซี่มานานกว่า 10 ปี ซึ่งคุณแม่ทำให้เห็นว่าอาชีพนี้ก็เป็นอาชีพที่มั่นคงได้ ที่สำคัญไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด และถึงแม้จะเป็น “โชเฟอร์ผู้หญิง” แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร แถมเธอยังได้เปรียบ เพราะลูกค้าผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุ จะรู้สึกอุ่นใจที่นั่งแท็กซี่ที่มีคนขับเป็นผู้หญิง อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เรื่องราวของเธอโด่งดังเป็นกระแสในโลกโซเชียล นอกจากคนจะชมแล้ว กับอีกมุมก็มี “ดราม่า” เกิดขึ้นด้วย โดยเธอเล่าว่า มีคนเข้ามาคอมเมนต์ และต่อว่า...ว่าเธอเรียนจบมาตั้งสูง แต่กลับมาแย่งงาน แย่งอาชีพคนไม่มีความรู้ ทำเอาเธออึ้ง...ว่ามีคนที่คิดอะไรแบบนี้ด้วยหรือ?? ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจ...
"จริง ๆ ตั้งแต่เป็นข่าว มีพี่ ๆ คนขับแท็กซี่ขอแอดเฟรนด์เข้ามาขอเป็นเพื่อนเยอะมาก (หัวเราะ) แถมยังเอางานมาให้อีกด้วย โดยเฉพาะลูกค้าชาวต่างชาติ โดยพี่ ๆ จะบอกว่าให้เรารับงานไป เพราะเราพูดอังกฤษได้ เราก็รับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เพราะเราก็มีลูกค้าที่จองเข้ามาเยอะเหมือนกัน ส่วนดราม่าที่หาว่าเราแย่งงานคนอื่น ตรงนี้ไม่จริงเลย เพราะต่างคนก็ต่างวิ่ง แถมเราวิ่งแค่ 5 โมงเย็นก็เลิกแล้ว เพราะจะมีคุณลุงซึ่งเป็นเพื่อนคุณแม่มาเช่ารถต่อจากเรา" แก้ว บอกอีกว่า ถ้าวันไหนคุณลุงที่เช่ารถไม่มา ถ้าเธอไหวก็จะขับต่อไปอีก 2 ชั่วโมง แต่พอค่ำมาก ๆ เธอก็จะหยุด เพื่อเซฟตัวเอง ซึ่งถ้ามีลูกค้าเรียกก็จะยังให้บริการ แต่จะเลือกไปเฉพาะสถานที่ที่ไม่น่ากลัว เช่น สนามบิน ห้างสรรพสินค้า
“มีลูกค้าแปลก ๆ ไหม?” เราถามเธอเรื่องนี้ แก้ว ยิ้ม พร้อมบอกว่า ตั้งแต่ทำอาชีพนี้มา เธอโชคดี เพราะยังไม่เคยเจอลูกค้าพูดจาไม่ดี พูดจีบ หรือลวนลาม เคยเจอแต่ลูกค้าใจร้อน อยากไปถึงที่หมายเร็ว ๆ ขณะที่เธอขับไม่เร็ว และเพิ่งขับได้ไม่นานจึงไม่ค่อยรู้เส้นทาง จึงต้องอาศัยลูกค้าคอยบอก เลยทำให้ไม่ค่อยถูกใจ ทำให้เธอโดนหงุดหงิดใส่ แต่ก็ไม่เป็นไร ส่วนถ้าถามว่า “อายไหม?” ถ้าต้องเจอเพื่อนรุ่นเดียวกัน เธอย้ำว่า..."ไม่อายค่ะ"
"มีบ่อย ๆ ที่เจอเพื่อนรุ่นเดียวกัน ซึ่งแต่ละคนก็ทำงานดี ๆ เงินเดือนเยอะ ๆ แต่งตัวสวย ๆ ขณะที่เราขับแท็กซี่ แต่บอกเลยว่าไม่อาย และไม่รู้สึกอะไร แถมตั้งแต่เป็นข่าวก็มีแต่คนชื่นชม โดยเฉพาะเพื่อน ๆ รุ่นพี่ และอาจารย์ ที่เข้ามาอุดหนุนเป็นลูกค้าเราด้วยซ้ำ และยังมีที่โทรศัพท์มาให้กำลังใจ บอกว่าภูมิใจที่เราทำให้ภาพลักษณ์มหาวิทยาลัยดูดีขึ้น เพราะไม่เลือกงาน ไม่ใช่เรียนจบแล้วแต่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ" แท็กซี่สาวบอกกับเรา
สำหรับรายได้แก้ว บอกว่า แต่ละวันไม่แน่นอน แต่โดยเฉลี่ยเมื่อหักค่าน้ำมัน ค่ากิน ก็จะมีรายได้ประมาณ 700-1,000 บาท ซึ่งเธอยืนยันว่า "อยู่ได้สบาย ๆ" อย่างไรก็ดี แก้ว ย้ำว่า ทุกอาชีพมันก็มีต้นทุน มีราคาที่ต้องจ่าย อย่างขับแท็กซี่ก็ใช้แรงงาน เป็นงานบริการ แต่ก็เครียดอะไรน้อยกว่าอีกหลายอาชีพ เพียงเราทำหน้าที่ขับรถไปส่งลูกค้าให้ถึงที่หมาย ก็ถือว่าภารกิจสำเร็จแล้ว
ตอนนี้ชีวิตของเธอมีความสุขดี เพราะยังได้ทำงานที่ตัวเองรักแบบฟรีแลนซ์ ขณะเดียวกันก็มีอาชีพขับรถแท็กซี่เป็นอาชีพหาเลี้ยงตัว เป็นอาชีพสุจริต ที่มีอิสระในการทำงาน มีเวลาพักผ่อน และมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น ซึ่งทุกคนที่รู้จัก โดยเฉพาะ แฟน ก็สนับสนุนเส้นทางชีวิตเส้นนี้ของเธอเป็นอย่างดี แถมตอนนี้มีคนจองคิวเธอยาวไปถึง 2 เดือน
"แฟนแก้วเป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาก็สนับสนุนเต็มที่ โดยบอกว่า... อะไรที่คิดว่าทำได้ และดี ก็ทำไป เพราะเขาเข้าใจดีว่าเรามีภาระ ซึ่งแฟนยังบอกอีกว่า... ขอให้รักทุกงานที่ทำก็พอ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม เพราะไม่มีงานไหนที่ด้อยไปกว่ากัน ขอเพียงเป็นอาชีพที่ไม่เบียดเบียนใคร เป็นงานที่ไม่ได้คดโกงใคร... จะงานอะไรก็มีเกียรติเท่ากันหมด"
ข้อมูลและภาพจาก dailynews, sentangsedtee