คุณทราบหรือไม่ว่า ลิ้น ของคนเราสามารถใช้เป็นวิธีในการวินิจฉัยโรคของคุณได้ สามารถบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาได้อย่างพมากมาย และคุณสามารถวินิจฉัยตัวเองด้วยการใช้กระจกส่องและมองดูลิ้นของคุณอย่างระมัดระวัง มาดูกันเลยว่าเป็นอย่างไร

    พวกเรารู้ข้อมูลของลิ้นจากมุมมองใหม่และพร้อมที่จะแบ่งปันสิ่งที่เราค้นพบกับคุณจากหลักการของโลกฝั่งตะวันออก

    1. อวัยวะต่างๆเกี่ยวพันและส่งผลถึงกันได้

    ลิ้น เป็นเหมือนตัวแทนที่ทำให้เห็นการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ การเปลี่ยนแปลงบนลิ้นใดๆ (เช่น แผล, จุด, ฯลฯ ) อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติของอวัยวะเหล่านี้

    ปลายลิ้นหมายถึง หัวใจ(heart)

    ปอด(lung)อยู่ด้านข้างถัดจากปลาย

    ศูนย์กลางของลิ้นชี้ไปที่กระเพาะอาหาร(stomach)และ ตับอ่อน(pancreas)

    ตามขอบคือ ตับ(liver)และ ม้าม(spleen)

    ใกล้กับส่วนล่างของลิ้นคือ ลำไส้(intestines)

    ด้านข้างใกล้ลำไส้มี ไต(kidneys)

    2. รูปแบบของลิ้น

    เรารู้ว่าสีและสิ่งที่เคลือบอยู่บนลิ้นสามารถบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่แตกต่างกัน แต่รูปร่างของลิ้นก็บอกอะไรบางอย่าง

    ลิ้นบาง  อาจหมายถึงปัญหาการขาดน้ำและการเผาผลาญ

    ลิ้นบวม  อาจบ่งบอกถึงปัญหาหรือการติดเชื้อของต่อมไทรอยด์

    ลิ้นหนา  อาจบ่งบอกว่าคุณขาดวิตามินบี 12

    3. แนวพับแนวตั้ง

    เส้นแนวตั้งมีหน้าที่รับผิดชอบกระดูกสันหลัง หากโค้งเข้าไปใกล้กับส่วนล่างของลิ้นนี่อาจหมายถึง ปัญหาในกระดูกสันหลังส่วนเอว

    การโค้งงอตรงกลางของรอยพับในแนวดิ่งอาจบ่งบอกถึงปัญหา บริเวณทรวงอก

    เส้นโค้งที่อยู่ใกล้กับปลายลิ้นอาจบ่งบอกถึงปัญหาบริเวณ  cervical region ?? ไม่รู้มันคืออะไร หามาเจอ สองอย่าง คือ ในบริเวณปากมดลูก กระดูกคอ

    4. สีของลิ้น

    นี่คืออาการอักเสบของลิ้นที่ทำให้ลิ้นเปลี่ยนสีของบางบางส่วนชึ้นเป็นปุ่มอาจบ่งบอกถึงฮอร์โมนและการขาดวิตามินบี 2 บางครั้ง บางครั้งอาจเป็นสาเหตุให้เจ็บได้

    5. ลิ้นสั่น

    อาการสั่นในลิ้นอาจหมายถึงการเกิดความวิตกกังวลค วามกลัวที่ซ่อนอยู่ และโรคทางเส้นประสาทนี่เป็นหนึ่งในสัญญาณของโรคพาร์กินสัน

    6. ลิ้นเป็นรอยแยก

    สภาพลิ้นนี้ส่วนใหญ่มักมาจากกรรมพันธุ์ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มอาการ Melkersson-Rosenthal (โรคทางระบบประสาทที่หายาก) และปรากฏเป็นอาการสะเก็ดเงินที่เห็นทางปาก

    ป.ล.หากคุณมีอาการเหล่านี้อย่ารีบไปวินิจฉัยด้วยตัวเองแล้วหายาซื้อกินเองนะ แนะนำว่าควรให้พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมจะดีกว่านะคะ

ที่มา : btwinmylife